Las Vegas Grand Prix 2023 ที่แพงทุกอย่าง
พิธีการเปิดการแข่งขัน Las Vegas Grand Prix 2023 นั้นเริ่มขึ้นตั้งแต่วันพุธที่ 15 ซึ่งจัดเต็มทั้ง แสง สี เสียง เต็มระบบ เล่นใหญ่ตามสไตล์อเมริกัน มีเซเลบคนดังจากหลายวงการปรากฏตัวขึ้นมากมาย ผู้ชมหลายคนบอกว่านี่มันเหมือนกับงานพิธีเปิดกีฬาโอลิมปิคเลยด้วยซ้ำ คอนเสิร์ตจากศิลปินดังคับคั่ง ลากยาว 3 วันเต็มๆตั้งแต่วันพฤหัสบดี – วันเสาร์ ทำให้ถนนบริเวณโดยรอบสนามเต็มไปด้วยแฟนๆของ Formula One และนักท่องเที่ยวที่ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์มหกรรมกีฬาในครั้งนี้ที่ Las Vegas
สนับสนุนการแข่งขัน Formula One ฤดูกาล 2023 โดย



ราคาตั๋วชมการแข่งขันที่แพงลิบลิ่ว
มองผิวเผินแล้ว Las Vegas Grand Prix 2023 นั้นประสบความสำเร็จในเรื่องของคนดูที่หลังไหล่เข้ามาเต็มท้องถนนในเมือง Las Vegas แต่ก็มีเสียงบ่นจากแฟนๆ Formula One เดนตายที่ตระเวนชมการแข่งขันในสนามต่างๆไปทั่วโลก รวมไปถึงนักท่องเที่ยวที่ต้องการสัมผัสบรรยากาศของการแข่งขัน Formula One สักครั้งในชีวิต ต่างพูดกันเป็นเสียงเดียวว่า การแข่งขัน Las Vegas Grand Prix 2023 นั้น พวกเขาต้องจ่ายเงินให้กับค่าตั๋วที่แพงมากๆ รวมไปถึงราคาค่าห้องพักที่ดีดขึ้นอย่างต่ำ 2 เท่าจากปกติ ส่วนใครที่ไม่เดือดร้อนเรื่องเงินทางโรงแรมและคาสิโนหลายแห่งก็ได้มีแพ็คเกจสุดพิเศษขายอีกด้วย มีรายงานว่าราคาแพ็คเกจที่แพงที่สุดนั้นสูงถึง 1 ล้านดอลลาร์
ตั๋วอัฒจันทร์ที่สนาม Las Vegas Grand Prix จะแบ่งออกเป็น 4 โซน
- โซน T-Mobile ที่สเฟียร์
- อีสต์ฮาร์มอนโซน
- เวสต์ฮาร์มอนโซน
- มิราจโซน
ตั๋วชมคอนเสิร์ตและชมการแข่งขันแบบปกติบนอัฒจันทร์ก็มีมูคค่าตั้งแต่ 200 – 4,000 ดอลลาร์เข้าไปแล้ว ส่วนตั๋วแบบ Super VIP นั้นมีราคาสูงสุดอยู่ที่ 40,000 ดอลลาร์ โดยจะเป็นตั๋วแพ็คเกจ 5 วันที่ไม่ได้มีขายทั่วไป ซึ่งจะอยู่ในโซน Paddock Club ที่เป็นส่วนชั้นบนของ Pit stop มีบริการที่พัก อาหารและเครื่องดื่ม และสามารถรับชมคอนเสิร์ตได้แบบใกล้ชิดรวมถึงชมการแข่งขันแบบติดขอบสนาม ซึ่งทำให้ตั๋วโซน Platinium VIP ของ Monaco Grand Prix ที่เคยเป็นตั๋วชม Formula One ที่แพงที่สุดโดยมีราคาประมาณ 7,600 ดอลลาร์ กลายเป็นเหมือนตั๋วเข้างานวัดไปเลย



ผู้ชมพร้อม นักแข่งพร้อม แต่สนามไม่พร้อม!!!
กลายเป็นเรื่องงามหน้าของฝ่ายจัดการแข่งขัน เพราะเพียงแค่วันแรกของการแข่งขัน Las Vegas Grand Prix ในรอบฝึกซ้อม ฝาท่อระบายน้ำโลหะได้เปิดออกหลังจากเปิดให้รถแข่งเริ่งลงฝึกซ้อมในรอบ P1 ได้เพียง 9 นาที จนทำให้ต้องมีธงแดงเพื่อหยุดการซ้อมและประกาศยกเลิกการซ้อมในช่วง P1 เพื่อทำการซ่อมแซมฝาระบายน้ำท่อดังกล่าวที่เปิดออกมา รวมไปถึงการตรวจเช็คบริเวณจุดที่เป็นฝาท่อระบายน้ำทุกจุดทั่วทั้งสนาม ทำให้ต้องเลื่อนการซ้อมในรอบ P2 ออกไปถึง 2 ชั่วโมงครึ่ง จนทำให้อัฒจันทร์นั้นเกือบจะว่างเปล่าไร้ผู้ชมเพราะช่วงเวลานั้นก็ปาเข้าไป 02.30 น. และทำให้การซ้อมในรอบ P2 ไปจบเอาในเวลา 04.00 น. ของเวลาท้องถิ่น ใครมันจะไปถ่างตาดูไหว!!!
การที่ฝาท่อระบายน้ำนั้นสามาเปิดออกมาได้คาดว่าสาเหตุมาจาก Ground effect จากใต้ท้องของรถแข่ง ซึ่งเป็นหลักอากาศพลศาสตร์ที่จะส่งผลให้ตัวรถและยางนั้นมีแรงยึดเกาะกับพื้นสนามมากขึ้นจากความกดอากาศที่ไม่เท่ากันระหว่างด้านบนและด้านใต้ท้องรถ เมื่อรถแข่ง Formula One วิ่งผ่านฝาท่อระบายน้ำในจุดนี้ซ้ำๆกันหลายครั้ง ทำให้อากาศที่ไหลผ่านใต้ท้องรถดูดเอาฝาท่อระบายน้ำจนค่อยๆขยับและเปิดออกในที่สุด ซึ่งทางแก้ปัญหาของสนามอื่นๆที่เป็นรูปแบบของ Street circuit ในลักษณะนี้ ยกตัวอย่างเช่น Monaco Grand Prix จะทำการเชื่อมปิดฝาท่อระบายน้ำทั้งหมดที่อยู่ในเส้นทางการแข่งขันเพื่อป้องกันไม่ให้เปิดออกมาได้ในขณะที่มีการแข่งขัน ซึ่งก็ทำให้ชวนสงสัยว่าทำไมทางฝ่ายจัดการแข่งขันและเจ้าหน้าที่ตรวจสอบสนามถึงพลาดเรื่องสำคัญแบบนี้ไปได้



จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้มีรถแข่งเสียหาย 2 คัน คันแรกเป็นของ Esteban Ocon จากทีม Alpine ซึ่งเสียหายไม่มากและทำการซ่อมแซมได้ทันเวลาก่อนการฝึกซ้อมในช่วงของรอบ P2 แต่รถแข่งคันที่โชคร้ายที่สุดกลายเป็น Ferrari ของ Carlos Sainz ที่วิ่งผ่านและส่วนใต้ท้องรถได้ปะทะเข้ากับฝาท่อระบายน้ำดังกล่าวเข้าอย่างจังจนทำให้เกิดความเสียหายในส่วนของเครื่องยนต์ และแบตเตอรี่รวมถึงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์ที่ใช้ควบคุม ทำให้ทีม Ferrari จำเป็นที่จะต้องทำการเปลี่ยนแบตเตอรี่ที่เสียหายใหม่ยกชุด ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นการละเมิดกฎข้องบังคับมาตรา 2.1 ซึ่งระบุไว้ว่าจะไม่สามารถทำการเปลี่ยนแปลงชิ้นส่วนและอุปกรณ์ของตัวรถตามที่ระบุไว้ในข้อบังคับในระหว่างที่ทำการแข่งขันโดยไม่มีข้อยกเว้น ด้วยเหตุนี้ทำให้ Carlos Sainz จะต้องโดนโทษตามที่ระบุไว้ในมาตรา 28.3 ของกฎข้อบังคับ โดยให้รับการลงโทษปรับตำแหน่งสตาร์ทลงไป 10 ตำแหน่ง เนื่องจากทำการเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดเหตุ และนั่นทำให้ทีม Ferrari เกิดความไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง
ทีม Ferrari ได้ยื่นอุธรณ์ในทันทีหลังจากที่มีการประกาศบทลงโทษของ Carlos Sainz เนื่องจากสาเหตุทั้งหมดนั้นเกิดจากความไม่พร้อมของสนามแข่ง จนเป็นเหตุทำให้รถแข่งของ Carlos Sainz นั้นเกิดความเสียหายจนต้องทำการซ่อมแซมและจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่เพื่อที่จะกลับเข้าไปแข่งขันต่อได้ ดังนั้นการลงโทษปรับตำแหน่งสตาร์ทของ Carlos Sainz จึงเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผล เพราะไม่ใช่ความผิดของทีมและนักแข่งเลย อีกทั้งยังเรียกร้องเงินค่าปรับจากผู้จัดการแข่งขันที่บกพร่องจนเป็นเหตุให้รถแข่งของ Ferrari นั้นเสียหาย แต่การอุธรณ์ก็ไม่เป็นผลเพราะกฎข้อบังคับของการแข่ง Formula One ในปัจจุบันไม่มีข้อกำหนดให้ยกเว้นการลงโทษในกรณีที่เกิดขึ้นดังกล่าว หลังจากนั้นถึงแม้ Carlos Sainz จะทำเวลาได้เป็นอันดับที่ 2 ในรอบจัดอันดับออกสตาร์ท แต่ในรอบแข่งขัน Main Race เขาต้องลงไปสตาร์ทในกริดที่ 12 จากผลของการถูกลงโทษ ซึ่งมันไม่แฟร์เลยสักนิดสำหรับ Ferrari


เหมือนสนามขับโชว์ มากกว่าขับแข่ง
Liberty Media เจ้าของการแข่งขัน Formula One พูดอย่างชัดเจนว่า Las Vegas Grand Prix เป็นการแข่งขันที่สำคัญที่สุดในรอบหลายปี ซึ่งก็เข้าใจได้ว่าเป็นเพราะการลงทุนมหาศาล และความคาดหวังถึงผลตอบรับที่ดีจากการที่ Formula One กลับมาแข่งขันที่ Las Vegas อีกครั้งในรอบ 40 ปี แต่จากสิ่งที่เห็นในการแข่งขัน ทั้งในเรื่องความไม่พร้อมของสนามที่มีเหตุการณ์ฝาท่อระบายน้ำเปิดออกในรอบการซ้อมจนทำให้รถแข่งบางคันต้องเสียหาย ไหนจะเรื่องช่วงเวลาที่ทำการซ้อมและแข่งขันที่หลายคนออกมาบ่นทั้งคนดูและนักแข่งว่ามันดึกเกินไป รวมไปถึงราคาตั๋วเข้าชมการแข่งขันที่แพงระยับ มันส่งผลทำให้ภาพลักษณ์ของการแข่งในสนามนี้ออกไปในทางลบเสียมากกว่า และโดยเฉพาะถ้าคำวิจารณ์เหล่านั้นมันออกมาจากปากของนักแข่งเอง
Max Verstappen เป็นเสียงที่ดังที่สุดในการต่อต้านการแข่งที่ Las Vegas เพราะเขาได้ให้สัมภาษณ์ก่อนการแข่งขันแบบตรงไปตรงมาไว้ว่า
Las Vegas Grand Prix คือการแสดงโชว์ 99% และมีการแข่งขันกีฬา 1%
แชมป์โลก 3 สมัยได้กล่าวไว้ว่า โดยส่วนตัวแล้วเขาไม่ได้ตั้งตารอที่จะมาแข่งที่ Las Vegas Grand Prix และตัวเขาเองก็ไม่ได้สนใจงานปาร์ตี้และสีสันของเมืองนี้มากนัก การแข่งในสนามแบบ Street circuit มันทำให้เขาขาดอารมณ์และแรงจูงใจในการแข่ง แต่ถ้าหากเป็นสนามแข่งรถจริงๆอย่าง Spa หรือ Monza มันจะทำให้รู้สึกว่าได้รับทุกองค์ประกอบของการแข่งขัน ซึ่งมันทำให้เขาหลงไหลมากกว่าสนามที่เป็นรูปแบบ Street circuit ซึ่งส่วนใหญ่มีแต่ทางตรงและโค้งหักศอก มันทำให้รู้สึกเหมือนขับโชว์ให้คนดูมากกว่าการแข่งขัน
Max Verstappen กล่าวเสริมไว้อีกว่า
Formula One ยังจะคงทำเงินได้ ไม่ว่าผมจะชอบ Las Vegas Grand Prix หรือไม่ก็ตาม แต่ผมจะไม่เสแสร้งเช่นกัน ผมแสดงความคิดเห็นทั้งในแง่บวกและแง่ลบ นั่นคือสิ่งที่ผมเเป็น

พิธีการเยอะ!!!เกินความจำเป็น
บทสรุปท้ายสุดของการแข่งขัน Formula One นั่นก็คือการขึ้นโพเดี้ยมรับถ้วยรางวัลของผู้ชนะในอันดับ 1-3 อย่างที่เราคุ้นเคยกันดี โดยในสนาม Las Vegas Grand Prix 2023 จบด้วยชัยชนะของ Max Verstappen จากทีม Red Bull อันดับที่ 2 เป็นของ Charles Leclerc จากทีม Ferrari และอันดับที่ 3 เป็นของ Sergio Perez จากทีม Red Bull
สำหรับบางคนแค่เห็น Max Verstappen ชนะอีกแล้วแค่นี้มันก็น่าเบื่อพออยู่แล้ว แต่พิธีการก่อนจะขึ้นโพเดี้ยมรับถ้วยรางวัลมันยิ่งทำให้น่าเบื่อยิ่งขึ้นไปอีก ซึ่งโดยปกติแล้วหลังจากจบการแข่งขันและนักแข่งทั้ง 3 อันดับนำรถเข้ามาจอดในจุดที่กำหนดแล้ว ก็จะมีการสัมภาษณ์เล็กน้อยก่อนที่นักแข่งจะเข้าไปพักที่ห้อง Cooldown room ที่ทางสนามจัดไว้ ก่อนที่ต่อมาจะขึ้นโพเดี้ยมรับถ้วยรางวัล ซึ่งอาจจะใช้เวลาตั้งแต่นักแข่งนำรถเข้ามาจอดจนเดินขึ้นโพเดี้ยมไม่เกิน 20-30 นาที แต่ขึ้นชื่อว่าอเมริกาแล้วต้องเล่นใหญ่ เล็กๆไม่ ใหญ่ๆทำ
เพราะหลังจากผู้ชนะทั้ง 3 อันดับ นำรถเข้ามาจอดแล้วเรียบร้อย ก็ต้องกระเตงๆกันขึ้นรถ Rolls-Royce คันหรูอัดกันไป 3 คน ( ไหนๆก็จะเล่นใหญ่ทั้งที จะให้นั่งคนละคันก็ไม่ได้นะ ) นั่งย้อนกันไปอีกเป็นกิโลเพื่อไปตรงเวทีบริเวณด้านหน้าน้ำพุของ Bellagio Hotel & Casino เพื่อที่จะสัมภาษณ์ และพอผู้ชนะทั้ง 3 คนให้สัมภาษณ์เสร็จ ก็ต้องนั่ง Rolls-Royce คันเดิม กลับมาที่เวทีบริเวณเส้นชัยและมีเวลาพักแค่แว๊บเดียวก่อนขึ้นไปรับถ้วยรางวัล ใช้เวลาทั้งหมดไปเกือบชั่วโมง…..เพื่อ?
เหตุผลอาจจะเป็นเพราะผู้จัดงานอาจจะต้องการเวลาเพื่อที่จะ Set เวทีบริเวณเส้นชัย แต่ถ้าในเมื่อลงทุนซื้อที่สร้างอาคาร Paddock หมดเงินไปตั้ง 500 ล้านดอลลาร์แล้ว จะสร้างโพเดี้ยมรับรางวัลอีกสักหน่อยมันคงหมดอีกไม่เยอะหรอก เข้าใจว่าอาจจะต้องการใช้ Air Time ให้เป็นประโยชน์ที่สุด แต่พิธีการที่เวิ่นเว้อ เยอะสิ่งและยืดยาด มันช่างขัดหูขัดตาคนที่รอดูยิ่งนัก



ที่สุดแล้วการแข่งขัน Formula One ในสนามรองสุดท้ายอย่าง Las Vegas Grand Prix จะยังคงอยู่ในปฏิทินการแข่งขันไปอีกอย่างน้อย 3 ปี ซึ่งในปีนี้ทาง Liberty Media เจ้าของการแข่งขัน Formula One คงได้รับถึงข้อท้วงติงในในการจัดการแข่งขันในสนามนี้และน่าจะจุกไม่น้อย และหวังว่าจะมีการแก้ไขปรับปรุงให้ดีและเหมาะสมขึ้นต่อไป อย่างน้อยๆสนามนี้ก็เป็นอีกสนามหนึ่งที่มีความสวยงามและมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นไม่แพ้สนามรูปแบบ Street circuit ในสนามอื่นๆของการแข่งขัน Formula One เชื่อว่าการแข่งขันในปีหน้า Las Vegas Grand Prix จะยังคงเป็นอีกสนามหนึ่งที่หลายคนเฝ้ารอคอยให้มาถึง
Nov 21 2023


