Las Vegas Grand Prix 2023
เป็นอีกสนามหนึ่งที่แฟนๆผู้ติดตามการแข่งขัน Formula One ในฤดูกาล 2023 ตั้งตารอชม เพราะเป็นสนามใหม่ล่าสุดที่ได้บรรจุเข้าสู่ปฏิทินการแข่งขัน และเป็นการหวนกลับมาของการจัดการแข่งขัน Formula One ที่นี่อีกครั้งในรอบ 40 ปี อีกด้วย หลังจากที่เคยจัดการแข่งขันบริเวณลานจอดรถของ Caesars Palace ในปี 1982
ภายหลังจากความสำเร็จของ Netflix จากซีรี่ส์ Drive to Survive ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมาก และได้นำผู้ชมชาวอเมริกันกลุ่มใหม่จำนวนมากเข้ามาสู่ Formula One ทำให้ Las Vegas Grand Prix นี้เป็นสนามที่ 3 แล้วที่จัดการแข่งขันขึ้นในประเทศอเมริกาในปีนี้ ถัดจาก Miami Grand Prix ที่จัดการแข่งขันไปแล้วในสนามที่ 5 และ United States Grand prix ในสนามที่ 18 ซึ่งนับว่าเป็นประเทศที่มีการจัดการแข่งขัน Formula One มากที่สุดในหนึ่งฤดูกาล ณ ขณะนี้
แน่นอนว่าผู้สนับสนุนหลักของการแข่งขัน Formula One 2023 ก็ยังคงเป็น
เว็ปไซต์ผู้ให้บริการที่น่าเชื่อถือ มั่นคง และเป็นพาร์ทเนอร์ให้กับรายการแข่งขันกีฬามากมาย
เส้นทางที่ใช้ในการแข่งขัน
สนาม Las Vegas Grand Prix นี้เป็นรูปแบบ street circuit ในเวลากลางคืน โดยจะใช้ถนนบริเวณใจกลางเมือง Las Vegus ซึ่งตัดผ่านสถานที่อันเป็นเอกลักษณ์ของเมือง Las Vegus ด้วยความเร็วเฉลี่ยที่คาดว่าจะทัดเทียมกับสนาม Monza ในประเทศอิตาลี หรือที่รู้จักกันในฉายา ” Temple of Speed ” ของการแข่งขัน Formula One จึงมีแนวโน้มว่า Las Vegas Grand Prix จะเป็นสนามที่มีการใช้ความเร็วสูงมากกว่า 330 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในช่วงทางตรง และจะมีจังหวะแอ็กชั่นในการแซงมากมายท่ามกลางสีสันของ Las Vegus ที่น่าตื่นตาตื่นใจในยามค่ำคืน
เส้นทางที่ใช้แข่งจะมีระยะทางต่อรอบทั้งหมด 6.2 กิโลเมตร มีทางตรงหลัก 3 ช่วง DRS Zone 2 โซน มีโค้งทั้งหมด 17 โค้ง โดยเส้นทางจะตัดผ่าน Landmark ต่างๆของเมือง Las Vegus เช่น Caesars Palace, Bellagio และ Venetian บริเวณเส้น Start จากโค้งที่ 1 ไปจนถึงโค้งที่ 4 ทาง Liberty Media ผู้ถือหุ้นใหญ่ของการแข่งขัน Formula One ตัดสินใจลงทุนซื้อที่ดินบริเวณนั้น เพื่อก่อสร้างให้เป็นอาคารและพื้นที่การแข่งขันถาวร โดยจะเป็นพื้นที่ของโซน VIP โซนพื้นที่ทำงานของทีมแข่ง และ Pit ที่จะเป็นพื้นที่ในการบำรุงรักษารถ ซึ่งคาดว่าทาง F1 ได้ใช้เงินไปแล้วกว่า 500 ล้านดอลลาร์ และมีแผนจะจัดการแข่งขันที่ Las Vegus ไปจนถึงปี 2032 เป็นอย่างน้อย
Las Vegas Grand Prix จะเป็นบททดสอบวิศวะกรของทีมแข่ง
เนื่องจากจัดการแข่งขันขึ้นเป็นครั้งแรก ทำให้ Las Vegas Grand Prix จะเป็นอีกบททดสอบหนึ่งที่ทุกทีมจะต้องเผชิญ เพราะทุกทีมแข่งไม่ได้มีข้อมูลจากการแข่งขันที่ผ่านมาของสนามนี้เพื่อนำมาประกอบการ Set up ตัวรถ เช่น ช่วงล่าง มุมล้อ ความสูง องศาปีกหน้า-หลัง อัตราทดเกียร์ การสึกหรอของยาง เป็นต้น ทุกอย่างต้องเริ่มจาก 0 กันทุกทีม ดังนั้น ช่วงการซ้อมใน P1 , P2 , P3 จะเป็นช่วงที่สำคัญที่สุดสำหรับการแข่งขันในสุดสัปดาห์นี้ เพราะทีมแข่งแต่ละทีมจะได้ข้อมูลจากเซ็นเซอร์ต่างๆที่ติดตั้งในตัวรถ ที่จะส่งข้อมูลหลั่งไหลเข้ามาในขณะที่ได้ขับซ้อมในสนามจริงๆ รวมไปถึง FeedBack จากนักแข่งที่จะบอกได้ถึงอาการของตัวรถในขณะที่ขับ เพื่อที่จะได้ทำการ Set up รถให้เหมาะสมกับการแข่งขันที่สุด และข้อมูลที่ได้ทั้งหมดจะถูกนำไปการวางแผนกลยุทธ์ในการแข่งของแต่ละทีม ซึ่งทั้งหมดนี้จะเป็นส่วนที่จะสามารถตัดสินแพ้ชนะกันได้เลย
ปัญหาที่คาดว่ารถแข่ง Formula One จะต้องเจอที่ Las Vegas
Power unit (เครื่องยนต์)
จะเห็นได้ชัดว่าเครื่องยนต์ V6 ไฮบริดของรถแข่ง Formula One ในยุคนี้ไม่ชอบการทำงานที่อุณหภูมิสูงจนเกินไป แต่ก็ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อทำงานในสภาพอากาศที่เย็นเช่นกัน และสภาพอากาศของเมืองที่อยู่ท่ามกลางทะเลทรายอย่าง Las Vegas ถึงแม้จะมีอุณหภูมิที่สูงในเวลากลางวัน แต่อุณหภูมิจะลดลงต่ำอย่างรวดเร็วในเวลากลางคืน และช่วงนี้กำลังเข้าสู่ฤดูหนาว มีการคาดการณ์ว่าในวันที่ทำการแข่งขัน Main Race อุณหภูมิในขณะที่ทำการแข่งขันจะอยู่ที่ 8-10 องศาเซลเซียส ยิ่งทำให้วิศวะกรของทีมต่างๆต้องคาดการณ์ถึงความน่าจะเป็นต่างๆน่าๆที่จะส่งผลต่อประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ในขณะที่ทำการแข่งขัน เพื่อรีดประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ให้ได้สูงสุด
Aerodynamic packages (ชุดแอร์โร่ไดนามิก)
นอกจากเครื่องยนต์แล้ว ทีมต่างๆยังจะต้องจัดการความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างอุณหภูมิกับแรงกดหรือดาวน์ฟอร์ซที่จะกระทำต่อตัวรถ เพราะในสภาพอากาศเย็นอากาศจะมีมวลที่หนาแน่นกว่าในสถาพอากาศที่ร้อน ซึ่งนั่นทำให้อากาศที่เย็นจะส่งผลต่อชุด Aerodynamic packages ที่ต่างออกไปจากข้อมูลที่มีจากช่วงที่สภาพอากาศร้อน และด้วยคาแรคเตอร์ของสนามที่มีทางตรงยาว และส่วนใหญ่เป็นโค้งความเร็วปานกลาง-สูง ที่ไม่ได้ต้องการแรงกดมากนัก ทำให้การเก็บข้อมูลในช่วงซ้อมนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญต่อการปรับตั้งให้เหมาะสมอย่างมาก
Aerodynamic packages ยังส่งผลไปถึงเรื่องของเบรกด้วยเช่นกัน อย่างที่ทราบกันดีกว่าเบรกของรถแข่ง Formula One นั้นมีความสำคัญกับการแข่งอย่างมาก และเบรกของรถแข่ง Formula One นั้นมีประสิทธิภาพที่สูงกว่ารถยนต์ที่ใช้ตามท้องถนนทั่วไปหลายเท่า เพราะต้องสามารถชะลอความเร็วของรถแข่งจาก 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ลงมาที่ 80-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเวลาอันสั้นเพื่อที่จะเข้าโค้ง ซึ่งกระบวนการทั้งหมดอาจจะสร้างพลังงานความร้อนได้ถึง 1,000-1,200 องศาเซลเซียส แต่ใน Las Vegas Grand Prix ที่สนามส่วนใหญ่นั้นจะเป็นโค้งความเร็วปานกลาง-สูง และทางตรงยาว ที่ไม่มีการใช้เบรกหนักๆมากนัก ทำให้การปรับตั้งชุดระบบระบายความร้อนให้กับระบบเบรกจะต้องมีความเหมาะสมกับการใช้งานและรักษาอุณหภูมิของเบรกให้อยู่ในช่วงที่เหมาะสม เพราะเบรกของรถแข่ง Formula One นั้น จะทำงานได้มีประสิทธิภาพสูงสุดที่อุณหภูมิ 350 องศาเซลเซียสขึ้นไป การที่การแข่งขันส่วนใหญ่ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้งานเบรกหนักๆมากนักบวกกับอุณหภูมิที่เย็นในขณะที่ทำการแข่งขัน อาจจะทำให้อุณหภูมิของเบรกลดลงต่ำกว่า 350 องศาเซลเซียสและจะส่งผลให้ประสิทธิภาพในการเบรกลดลงเมื่อจำเป็นที่จะต้องใช้งานและอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้
Tyre (ยาง)
Las Vegas Grand Prix มีระยะทางต่อรอบ 6.2 กิโลเมตร พื้นผิว Track ทั้งหมดจะเป็นยางมะตอยที่ถูกปรับผิวให้เรียบ มีทางตรงหลักที่ยาวเป็นพิเศษ 3 ช่วง ทั้งหมดนั้นนั่นจะทำให้ยางอาจจะเย็นกว่าอุณหภูมิที่เหมาะสม และด้วยที่เป็นสนามที่เพิ่งจะจัดการแข่งขันเป็นครั้งแรก ทำให้ขาดข้อมูลที่ชัดเจน ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่รบกวนจิตใจเหล่าบรรดาวิศวะกรทั้งของทีมแข่งเอง รวมไปถึงวิศวะกรของ Pirelli ซึ่งเป็นบริษัทยางหนึ่งเดียวที่สนับสนุนยางให้กับรถแข่ง Formula One ของทุกทีม
จากการคาดการณ์ สนาม Las Vegas Grand Prix เป็นสนามที่ใช้ความเร็วสูง และมีความรุนแรงต่ำในแง่ของการเข้าโค้ง ทำให้ยางไม่ต้องรับภาระเยอะ และอุณหภูมิที่เย็นในขณะแข่งขัน บวกกับพื้น Track ที่มีความเรียบ จะทำให้ยางสร้างอุณหภูมิที่เหมาะสมในการแข่งขันได้ไม่ดีนัก จึงทำให้ทาง Pirelli เลือกที่จะส่งยางคอมปาวน์อ่อนที่สุด 3 ชนิดให้ทีมแข่งต่างๆใช้สำหรับสนามนี้ นั่นคือยาง Hard C3 , Medium C4 , Soft C5 เพราะด้วยคุณสมบัติของคอมปาวน์ที่อ่อนของยางแต่ละประเภท จะช่วยสร้างอุหภูมิของยางได้ดีและเร็วยิ่งขึ้น
กำหนดการแข่งขัน Formula One Las Vegas Grand Prix 2023
วันศุกร์ที่ 17 พฤศจิกายน 2566
11.25 – 12.30 น. รอบซ้อม 1
14.55 – 16.00 น. รอบซ้อม 2
วันเสาร์ที่ 18 พฤศจิกายน 2566
11.25 – 13.30 น. รอบซ้อม 3
14.55 – 16.00 น. รอบควอลิฟาย
วันอาทิตย์ที่ 19 พฤศจิกายน 2566
12.55 – 15.00 น. รอบแข่งขัน Main Race
Nov 15 2023
